กู้ยืมเงิน
- บริษัท กฎหมาย จำกัด
- 27 ก.ย. 2562
- ยาว 1 นาที

การกู้ยืมเงินเป็นสัญญาอย่างหนึ่งซึ่งเกิดจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “ผู้กู้” มีความต้องการจะใช้เงิน แต่ตนเองมีเงินไม่พอหรือไม่มีเงิน จึงไปขอกู้ยืมจากบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้ให้กู้” และผู้กู้ตกลงจะใช้คืนภายในกำหนดเวลาใดเวลาหนึ่ง การกู้ยืมจะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีการส่งมอบเงินที่ยืมให้แก่ผู้ที่ยืมและผู้กู้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ โดยในการกู้ยืมนี้ผู้ให้กู้จะคิดดอกเบี้ยหรือไม่ก็ได้ และดอกเบี้ยที่จะคิดได้นั้นจะต้องไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 "การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว"
จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว หมายความว่า การกู้ยืมเงินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปนั้น ต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จึงจะฟ้องบังคับคดีเรียกหนี้เงินได้ ดังนั้นเพื่อให้การฟ้องร้องดำเนินคดีกู้ยืมเงินเป็นไปอย่างไม่ยุ่งยาก ผู้ให้กู้ควรทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินกับผู้กู้ด้วย
การฟ้องร้องดำเนินคดี
การฟ้องร้องเรียกเงินตามสัญญากู้ยืมนั้นจะต้องกระทำภายในกำหนดอายุความ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่าจะต้องฟ้องภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ถึงกำหนดชำระเงินคืน หากปล่อยเวลาดังกล่าวล่วงเลยไปแล้ว คดีถือเป็นขาดอายุความ ตามความแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30
Comments