ตรวจสภาพรถยนต์เบื้องต้น เพื่อการเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง
ตรวจระบบไฟส่องสว่างทั้งหมด
ตรวจสภาพยางรถยนต์ และเช็กลมยาง
ตรวจระบบแตร
ตรวจยางใบปัดน้ำฝน
ระดับน้ำมัน (น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเบรก และน้ำมันพวงมาลัย)
ระดับน้ำในหม้อน้ำและถังพักน้ำ
ระดับน้ำกรดของแบตเตอรี่
ระดับน้ำล้างกระจก (ทั้งหมดนี้จะต้องอยู่ในระดับที่กำหนด)
ตรวจห้องโดยสาร
เข็มขัดนิรภัย
แป้นเบรก แป้นคลัตช์ และเบรกมือ
มาตรวัดต่าง ๆ
ตรวจห้องเก็บสัมภาระ
ยางอะไหล่ (ต้องมีพร้อม)
เครื่องมือประจำรถ (เช่น เครื่องมือเปลี่ยนยาง)
อุบัติเหตุ เป็นเรื่องที่ป้องกันได้ โดยการแก้ไขจากสาเหตุที่ทำให้เกิด สำหรับการใช้รถใช้ถนนแล้ว สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุแก่ผู้ขับขี่ยานพาหนะตลอดจนสร้างความเสียหาย แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม ได้แก่
1. ผู้ขับขี่ขาดความรอบรู้ในการใช้รถใช้ถนน 2. ประชาชนผู้เดินถนนขาดความรู้เกี่ยวกับการเดินถนน ตลอดจนการโดยสารที่ปลอดภัย 3. ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และขับรถอยู่บนความประมาทขาดความระมัดระวัง หรือขับรถในขณะมึนเมา ซึ่งอุบัติเหตุบนท้องถนนในปัจจุบันที่กำลังเพิ่มปริมาณขึ้นเกิดจากสาเหตุนี้ โดยหลักใหญ่ ดังจะเห็นได้ว่ามีโครงการรณรงค์ไม่ให้ผู้ขับรถดื่มสุราหรือของมึนเมาขณะขับ รถ
ความรู้ในการขับรถที่เสี่ยงต่ออันตราย
หมายถึงการขับรถบนถนนที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ถนนลื่น ขึ้นลงเขา หรือขับรถทางไกล ซึ่งผู้ขับขี่ควรมีความรู้ต่างๆ ดังนี้
1. ขับรถขณะฝนตกถนนลื่น ควรชะลอความเร็วรถให้ช้าลงกว่าปกติและทิ้งระยะห่างจากคันหน้าให้มากขึ้น ถ้าขับรถอยู่บนทางที่ให้รถขับสวนกันก็ควรเปิดไฟหน้ารถเพื่อเตือนให้รถที่ วิ่งสวนมามองเห็น เวลาจะหยุดรถควรใช้เกียร์ช่วย ไม่ควรเหยียบเบรกกะทันหันหรือหักพวงมาลัยรถอย่างฉับพลัน เพราะอาจทำให้รถปัดหรือหมุนได้ 2. การขับรถขึ้น-ลงเขาสูง เวลาขับรถขึ้นเขาควรใช้เกียร์ต่ำที่มีกำลังพอ เพราะถ้าเครื่องยนต์ไม่มีกำลังพอจะทำให้รถดับได้ ถ้ารถดับและไหลลงจากเขาต้องเหยียบเบรกและใช้เบรกมือช่วย ส่วนเวลาลงเขาก็ควรใช้เกียร์ต่ำเช่นกันเพื่อฉุดกำลังไม่ให้ไหลเร็วจนเกินไป หรือคอยประคองรถด้วยการเหยียบเบรกชะลอให้รถช้าพอที่จะบังคับได้ 3. การขับรถทางไกล ในบางครั้งเมื่อมีความจำเป็นต้องขับรถทางไกล ซึ่งอาจมีโอกาสประสบอุบัติเหตุได้ ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตนดังนี้ ก. ตรวจสภาพและอุปกรณ์ต่างๆ ของรถ ให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีและปลอดภัยก่อนออกเดินทาง ดังนี้
ตรวจช่วงล่าง คันส่งคันชักพวงมาลัย
ตรวจยางทั้งสี่ล้อ และยางอะไหล่ด้วย ยางไม่มีดอกควรเปลี่ยน นอตล้อขันแน่นหรือไม่ วัดลมยางทั้งสี่ล้อให้ได้ขนาดเหมาะสมกับรถ และควรมีที่วัดลมยางติดไปด้วย
เตรียมแม่แรงประจำรถ เหล็กขันแม่แรงและกุญแจขันแม่แรง พร้อมทั้งตรวจสอบว่าใช้การได้หรือไม่
ตรวจระบบเบรก ผ้าเบรก น้ำมันเบรก และตรวจเบรกมือว่าใช้การได้ดีหรือไม่
ตรวจระบบเครื่องยนต์ ลองสตาร์ตเครื่องว่าเดินเรียบหรือไม่ ถ้าเครื่องเดินไม่เรียบอาจต้องเปลี่ยนหัวเทียนหรือทองขาว
ตรวจดวงไฟหน้าทั้งสองดวง รวมถึงไฟทุกดวงของรถ ต้องสว่างเพียงพอและให้การได้ดีทุกดวง ปรับไฟสูง-ไฟต่ำให้ได้ขนาดตามที่กำหนดไว้ ถ้าหลอดขาดหรือฟิวส์ขาดให้เปลี่ยน
ตรวจระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ น้ำในหม้อน้ำ (รังผึ้ง) ถ้าหม้อน้ำแห้งหรือทางเดินของน้ำหมุนเวียนอุดตัน เครื่องยนต์จะร้อน สังเกตได้จากหน้าปัดวัดความร้อน อาจทำให้เสื้อสูบแตกหรือชาร์จละลาย
ตรวจน้ำล้างกระจก ท่อฉีดน้ำกระจกต้องไม่อุดตัน ที่ปัดน้ำฝนยังใช้การได้ดี
ตรวจน้ำมันเครื่อง และไส้กรองน้ำมันเครื่องจะต้องเปลี่ยนทุก 5,000-10,000 กิโลเมตร
ตรวจน้ำมันเชื้อเพลิงว่ามีเพียงพอหรือไม่ และไส้หม้อกรองน้ำมันเชื้อเพลิงต้องสะอาด ซึ่งจะต้องเปลี่ยนทุก 10,000- 20,000 กิโลเมตร น้ำมันเชื้อเพลิงต้องเติมให้ค่าออกเทนตรงกับสภาพรถ ซึ่งสามารถสอบถามได้ตามสถานีบริการน้ำมันต่างๆ
ตรวจระบบแตรว่าใช้การได้ดีหรือไม่
ตรวจระบบแอร์ ถ้าน้ำยาแอร์ไม่พอ แอร์จะไม่เย็น โดยดูจากช่องดูน้ำยาแอร์ใกล้ๆ กับคอมเพรสเซอร์ของแอร์ จะมีฟองอากาศและให้ตรวจ ดูสายพานแอร์ว่าหย่อนหรือชำรุดหรือไม่ และให้ตรวจดูสายพานแอร์ว่า
ตรวจการรั่วไหลของน้ำ น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่นต่างๆ
นำรถไปอัดฉีดจาระบีล้อ เติมน้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้าย
Comments